4 เมืองตัวอย่างการสร้างสรรค์ Smart Mobility เพื่อสร้างเมืองที่น่าอยู่ เดินทางสะดวก และยั่งยืน

หลายเมืองและท้องถิ่นกำลังเผชิญปัญหาด้านการเดินทาง เช่น การขาดระบบขนส่งสาธารณะ การจราจรติดขัด ความปลอดภัยบนถนน และที่จอดรถไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ แนวคิด “Smart Mobility” หรือ “การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ” จึงเป็นทางออกสำคัญที่ช่วยยกระดับการเดินทางให้สะดวก ปลอดภัย และยั่งยืนยิ่งขึ้น
เบดร็อค อนาไลติกส์ ได้รวบรวมตัวอย่างเมืองที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนา Smart Mobility จาก คู่มือพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เพื่อเป็นแนวทางให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ต้องการต่อยอดการบริหารจัดการเมืองด้านการคมนาคมขนส่ง ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
1. วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง
วังจันทร์วัลเลย์ พื้นที่ต้องแบบเมืองอัจฉริยะที่มีการพัฒนาแนวคิด Smart Mobility โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และแพลตฟอร์มแสดงผลแบบเรียลไทม์มาบูรณาการเข้าด้วยกัน เพื่อยกระดับความปลอดภัยและการบริหารจัดการการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีการติดตั้งกล้อง CCTV ทั่วพื้นที่ เพื่อส่งข้อมูลเข้าสู่ศูนย์บัญชาการกลางแบบเรียลไทม์ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถมองเห็นภาพจากทุกมุมของเมืองได้พร้อมกัน และตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นการตรวจจับใบหน้าเพื่อตรวจสอบตัวบุคคล การอ่านป้ายทะเบียนรถ การวางแผนและบริหารจราจร การคำนวณปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ไปจนถึงการแจ้งเตือนเมื่อพบควันไฟหรือความผิดปกติในพื้นที่

2. เทศบาลนครขอนแก่น จ.ขอนแก่น
เทศบาลนครขอนแก่นเป็นหนึ่งในต้นแบบของเมืองที่พัฒนา Smart Mobility อย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดตั้งระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ “ขอนแก่นซิตี้บัส (Khon Kaen City Bus)” เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่สำคัญภายในเมืองกับชานเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
ขอนแก่นซิตี้บัส เป็นรถโดยสารปรับอากาศให้บริการในราคาย่อมเยา มีกำหนดเส้นทางและรอบเวลาเดินรถที่แน่นอน พร้อมติดตั้งระบบติดตามตำแหน่ง (GPS) ช่วยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบตำแหน่งและเวลารถถึงได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังรองรับการชำระค่าโดยสารผ่านหลายช่องทาง ทั้งบัตรโดยสารอัจฉริยะ ตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติ และการสแกน QR Code ซึ่งไม่เพียงเพิ่มความสะดวกในการเดินทางให้ประชาชน แต่ยังช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด และรองรับการขยายตัวของเมืองอย่างยั่งยืนด้วย

3. กรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานครเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของเมืองที่มีการขับเคลื่อนแนวคิด Smart Mobility และช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 โดยมีสตาร์ตอัปไทยที่ให้บริการ On-demand Ride-sharing ช่วยเชื่อมต่อการเดินทางขนส่งสาธารณะ ผ่านโครงการรถสามล้อสาธารณะไฟฟ้า “มูฟมี (MuvMi)”
โดยเป็นบริการรถรถสามล้อสาธารณะไฟฟ้าเชื่อมต่อการเดินทางไปยังระบบขนส่งสาธารณะหลัก เช่น รถไฟฟ้า BTS และ MRT ผู้ใช้สามารถจองคิว ติดตามตำแหน่งรถ และตรวจสอบค่าโดยสารได้ผ่านแอปพลิเคชัน MuvMi รองรับทั้งการใช้งานแบบเหมาคันและการเดินทางร่วม (Ride Sharing) ทำให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น

4. เมืองลินเชอปิง (Linköping) ประเทศสวีเดน
เมืองลินเชอปิง หนึ่งในตัวอย่างของเมืองที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนา Smart Mobility อย่างเป็นระบบ โดยได้พัฒนาระบบจอดรถอัจฉริยะ เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร ลดความแออัดในเขตเมือง และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ
โดยนำเทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบ เช่น กล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) เซนเซอร์ตรวจจับความหนาแน่น และระบบบันทึกการเข้าออกของรถยนต์ มาใช้ในการระบุสถานะของที่จอดรถแบบเรียลไทม์ พร้อมตรวจจับความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นภายในพื้นที่จอดรถ ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบข้อมูลที่จอดรถทั้งหมดในเมืองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งมีฟังก์ชันค้นหาช่องจอดว่าง ระบบนำทางไปยังที่จอดรถใกล้ที่สุด และช่องทางชำระค่าบริการที่สะดวกหลากหลายรูปแบบ

จะเห็นได้ว่า “Smart Mobility” หรือ “การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ” สามารถพัฒนาได้หลากหลายรูปแบบตามบริบทของแต่ละพื้นที่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการสร้างเมืองที่น่าอยู่ เดินทางสะดวก และยั่งยืนสำหรับทุกคน หากสนใจแนวทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะเพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดฟรี คู่มือพัฒนาเมืองอัจฉริยะ จากเบดร็อค อนาไลติกส์ ได้ที่นี่
ขอบคุณที่มาของภาพ:
